อาการอย่างไร ถึงจะเรียกว่าเป็น “โรคพังผืดทับเส้นประสาท”
เคยกันหรือไม่ครับ ที่อยู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีอาการมือไม้อ่อนแรง ที่บริเวณมือ หรือบางครั้งก็เกิดกับข้อมือ นิ้วมือ หรือรู้สึกปวดเสียวเหมือนมีเข็มแทง ฯลฯ ตัวอย่างอาการเหล่านี้ อาจเป็นอาการส่วนหนึ่งของโรคที่เรียกว่า โรคพังผืดทับเส้นประสาท หรือ Carpal Tunnel Syndrome
อาการอย่างไร ถึงจะเรียกว่าเป็น “โรคพังผืดทับเส้นประสาท”
โรคนี้ เกิดขึ้นเพราะการใช้งานข้อมือมากเกินไป โดยไม่ได้พัก หรือใช้ข้อมือในการออกแรงเป็นระยะเวลานาน ทำซ้ำๆ จากที่มีอาการปวดเมื่อยเล็กน้อย จนนำไปสู่อาการชา และปวดมากขึ้น และอาการปวดมักเกิดขึ้นในเวลาช่วงกลางคืนหรือตอนที่เราใช้งานข้อมือครับ สาเหตุของโรคนี้มีได้หลายอย่างนะครับ ไม่ได้เกิดจากการใช้งานข้อมือมากเกินไปเพียงอย่างเดียว แต่อาจมีสาเหตุมาจาก โรคประจำตัว เช่นในกลุ่มโรคเบาหวาน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะคุณแม่ตั้งครรภ์ หรือสำหรับผู้หญิงที่กำลังเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน รวมถึงปัจจัยทางพันธุกรรมด้วยครับ
แนวทางการรักษาและการวินิจฉัยสามารถทำได้หลายวิธีครับ ลองอ่าน บทความน่ารู้ ที่หมอได้เขียนให้กับทาง สำนักพิมพ์ผู้จัดการ ซึ่งเผยแพร่ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมาได้ครับ
ผู้อ่านจะได้สังเกตอาการ และศึกษาถึงวิธีการดูแลรักษา พบแพทย์เฉพาะทาง เพราะโรคพังผิดทับเส้นประสาทสามารถรักษาให้หายได้ สำคัญที่สุดคือ ต้องรู้ว่าเราควรดูแลสุขภาพอย่างไร ใช้งานกระดูก กล้ามเนื้ออย่างไรให้มีประสิทธิภาพและใช้ได้ยาวนานครับ
โดย.. นพ.สุนทร ศรีสุวรรณ์
อาจารย์แพทย์ ศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลศูนย์หาดใหญ่
อาการมือชา เป็นกลุ่มอาการที่ตรวจพบเป็นประจำในผู้ป่วยโรคกระดูกและข้อ โดยทางการแพทย์เรียกว่า โรคพังผืดทับเส้นประสาทที่ข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome)
- สาเหตุของโรคโรคพังผืดทับเส้นประสาทที่ข้อมือ หรือที่เรียกว่า Carpal Tunnel Syndrome (CTS) เกิดจากการที่เส้นประสาทมีเดียน (Median Nerve) ถูกกดทับในบริเวณที่เรียกว่า “carpal tunnel” ซึ่งเป็นช่องแคบในข้อมือ โดยภายในช่องนี้จะมีเส้นเอ็นและเส้นประสาทที่ผ่านไปยังนิ้วมือ เส้นประสาทมีเดียนทำหน้าที่ควบคุมความรู้สึกของนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และครึ่งหนึ่งของนิ้วนาง เมื่อเกิดการกดทับนานๆ จะทำให้เกิดอาการผิดปกติขึ้น
- สาเหตุที่พบได้บ่อยของการเกิดโรคมีดังนี้• การใช้งานข้อมือมากเกินไป เช่น การทำงานที่ต้องใช้ข้อมือทำซ้ำๆ เป็นเวลานาน หรือทำกิจกรรมที่ต้องงอข้อมืออย่างต่อเนื่อง
• ปัจจัยทางพันธุกรรม บางคนมีช่อง carpal tunnel ที่แคบตั้งแต่เกิด ทำให้มีความเสี่ยงต่อการกดทับเส้นประสาทมากขึ้น
• โรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (rheumatoid arthritis) หรือภาวะการทำงานของต่อมไทรอยด์ผิดปกติ (hypothyroidism)
• การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงตั้งครรภ์ หรือวัยหมดประจำเดือน ทำให้เกิดการบวมที่ข้อมือได้ง่ายขึ้น
อาการของโรค
ผู้ป่วย Carpal Tunnel Syndrome มักมีอาการดังต่อไปนี้:
1.ชาหรือปวดในมือและนิ้ว โดยเฉพาะที่นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และครึ่งหนึ่งของนิ้วนาง อาการนี้อาจเกิดขึ้นในเวลากลางคืนหรือขณะทำกิจกรรมที่ใช้มือมาก
2.อาการรู้สึกเสียวเหมือนมีเข็มแทง มักจะเกิดเมื่อเส้นประสาทมีเดียนถูกกดทับอย่างรุนแรง
3.มืออ่อนแรง ในบางกรณี การกดทับเส้นประสาทเป็นเวลานานจะทำให้กล้ามเนื้อที่อยู่ในบริเวณโคนนิ้วโป้งอ่อนแรงลง จนไม่สามารถหยิบจับสิ่งของได้ดี
4.อาการบวมที่ข้อมือหรือมือ แม้ว่าอาการบวมจะไม่ชัดเจนภายนอก แต่ผู้ป่วยมักรู้สึกว่าข้อมือบวมและหนัก
วิธีการวินิจฉัย
แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรค Carpal Tunnel Syndrome โดยใช้วิธีต่างๆ ดังนี้:
1.ซักประวัติและตรวจร่างกาย แพทย์จะถามถึงอาการ การใช้งานมือ และสังเกตการอ่อนแรงของมือ โดยอาจทดสอบการกดข้อมือหรือการเคลื่อนไหวของมือ
2.การตรวจทางไฟฟ้าของเส้นประสาท (Nerve Conduction Study – NCS) วิธีนี้ใช้วัดความเร็วในการนำกระแสไฟฟ้าผ่านเส้นประสาท เพื่อประเมินว่ามีการกดทับเส้นประสาทหรือไม่
3.การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromyography – EMG) ใช้สำหรับตรวจสอบการทำงานของกล้ามเนื้อ เพื่อดูว่ามีการเสียหายของเส้นประสาทหรือไม่
แนวทางการรักษา
การรักษา Carpal Tunnel Syndrome สามารถแบ่งเป็น 2 แนวทางหลัก คือ การรักษาแบบไม่ผ่าตัดและการรักษาแบบผ่าตัด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
• การพักการใช้งานมือ หยุดหรือหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาท
• การใส่อุปกรณ์พยุงข้อมือ เพื่อช่วยให้ข้อมืออยู่ในท่าที่เหมาะสมและลดการกดทับเส้นประสาท โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืน หรือ ระหว่างทำงาน
• การใช้ยาต้านการอักเสบ เช่น ยา NSAIDs (Nonsteroidal anti-inflammatory drugs) เพื่อลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวด
• การฉีดสเตียรอยด์ ในกรณีที่อาการรุนแรงขึ้น สเตียรอยด์จะช่วยลดการอักเสบและลดการกดทับเส้นประสาทได้ชั่วคราว
• การทำกายภาพบำบัด เพื่อช่วยปรับการใช้งานข้อมือให้เหมาะสม และเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
การรักษาแบบผ่าตัด
หากการรักษาแบบไม่ผ่าตัดไม่ได้ผล หรือในกรณีที่อาการรุนแรงมาก แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อคลายการกดทับเส้นประสาท การผ่าตัดมักมี 2 วิธี:
• การผ่าตัดเปิด (Open Release Surgery) เป็นการผ่าตัดแบบเปิดเพื่อคลายการกดทับของเส้นประสาทมีเดียน
• การผ่าตัดผ่านกล้อง (Endoscopic Surgery) ใช้กล้องขนาดเล็กเพื่อช่วยในการผ่าตัด
การป้องกันและคำแนะนำในการดูแลตัวเอง
• หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือในลักษณะซ้ำๆ เป็นเวลานาน
• ใช้ท่าทางที่เหมาะสมขณะทำงานโดยเฉพาะกับคอมพิวเตอร์ และพักข้อมือเป็นระยะ
• หากมีอาการปวดหรือชาในข้อมือหรือมือ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันการเกิดความเสียหายถาวร
โรคพังผืดทับเส้นประสาท ที่ข้อมือเป็นโรคที่สามารถรักษาได้ แต่การป้องกันและการดูแลตัวเองอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดโรคในระยะยาว
“มือชา” พังผืดทับเส้นประสาทที่ข้อมือ
เผยแพร่: ปรับปรุง:
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
https://mgronline.com/south/detail/9670000097529
นายแพทย์สุนทร ศรีสุวรรณ์ (เกียรตินิยม )
You must be logged in to post a comment.